วิธีขับรถเกียร์กระปุก
เพื่อนๆเคยขับรถเกียร์กระปุกหรือเกียร์ธรรมดาไหม? เชื่อว่าหลายคนที่ชอบขับรถแล้วต้องบรรทุกของหนักๆอย่างรถกระบะหรือรถบรรทุกจะต้องใช้เกียร์กระปุกแน่นอน ในอดีตรถยนต์ส่วนมากก็เรียกว่าแทบจะทั้งหมดเลยก็ว่าได้ เป็นระบบส่งกำลังแบบ “เกียร์ธรรมดา” หรือ “เกียร์กระปุก” แต่ถ้าเป็นยุคโบราณก็ “เกียร์คอพวงมาลัย” หรือ “เกียร์คอ” ที่เรียกกันสั้นๆ ที่ตอนนี้คนเล่นรถ Retro ถวิลหากันจัง อย่างไรก็ตาม มันก็จัดอยู่ในหมวด “เกียร์ธรรมดา” หรือ “Manual Transmission” ที่คนขับจะต้องทำทุกอย่างเอง ตั้งแต่เหยียบปล่อยคลัตช์ เข้าเกียร์ เปลี่ยนเกียร์ ให้เหมาะสมกับช่วงความเร็วกับการขับขี่ มันเป็นระบบพื้นฐานของรถยนต์ทั่วไป
(รถยนต์เกียร์คอพวงมาลัย)
ด้วยความที่เกียร์กระปุกสามารถเพิ่มความแรงและความมันส์ในการขับ ส่วนอีกตลาด ก็ “กระบะ” ก็ได้ทั้งใช้งานหนักและโมดิฟายหนัก หรือ คนที่ใช้รถอยู่ต่างจังหวัด ก็ไม่จำเป็นต้องใช้เกียร์ออโต้ เพราะรถไม่ติด การใช้เกียร์ธรรมดามันก็เหมาะสมดี ทนทาน ไม่มีอะไรซับซ้อน และเผื่อขับขึ้นลงเขาเป็นประจำได้ ครั้งนี้ เราขอแนะนำวิธีการขับเกียร์กระปุกอย่างถูกต้อง ซึ่งจะนำพาสิ่งดีๆนานับประการ ตั้งแต่ในด้านสมรรถนะ ความประหยัด ความนุ่มนวล และ ความทนทาน มันมาด้วยกันได้
อ่านบทความเพิ่มเติมที่ วิธีพ่วงแบตเตอรี่รถยนต์ด้วยตนเอง ที่ถูกต้องและปลอดภัย
ตำแหน่งของเกียร์กระปุก
- เกียร์ 1 อยู่ทางซ้ายด้านบน
- เกียร์ 2 อยู่ทางซ้ายด้านล่าง
- เกียร์ 3 อยู่ตรงกลางด้านบน
- เกียร์ 4 อยู่ตรงกลางด้านล่าง
- เกียร์ 5 อยู่ทางขวาด้านบน
- เกียร์ R อยู่ทางขวาด้านล่าง
ตำแหน่งการวางเท้า
เท้าด้านซ้ายใช้ในการควบคุมคลัทซ์ในการเพิ่มเกียร์หรือลดเกียร์ เท้าด้านขวาใช้ในการควบคุมเบรคคันเร่ง
การทำงานของคลัทซ์ มี 3 ระยะ
- ระยะที่ 1 ระยะฟรี คือปล่อยคลัทซ์ชนิดเดียวรถจะไม่เคลื่อน
- ระยะที่ 2 ระยะเริ่มทำงาน คือปล่อยคลัชรถเริ่มสั่น และจะเคลื่อนที่ช้าๆ
- ระยะที่ 3 ปล่อยคลัชให้หมด คราวนี้เร่งเท่าไร ก็จะเร็วขึ้นตามคันเร่ง (แต่ก็ต้องเปลี่ยนเกียร์ด้วยนะ)
ขั้นตอนการขับรถเกียร์กระปุก
- เริ่มภาคปฏิบัติโดยการคาดเข็มขัดนิรภัยทันทีที่เข้าภายในรถ ในระหว่างการเรียนขับรถเกียร์ธรรมดา ให้คุณหมุนหน้าต่างรถลง วิธีนี้จะช่วยให้คุณได้ยินเสียงเครื่องยนต์ได้ดีขึ้น เพื่อคุณจะสามารถเปลี่ยนเกียร์ให้สัมพันธ์กับเสียงเครื่องยนต์ได้ง่ายขึ้น แป้นเหยียบซ้ายสุดคือ คลัทช์ แป้นกลาง คือเบรก และแป้นคันเร่งจะอยู่ด้านขวามือสุด การจัดวางของแป้นเหยียบนี้จะเหมือนกันทั้งในรถพวงมาลัยซ้าย และพวงมาลัยขวา
- เรียนรู้ว่าคลัทช์มีหน้าที่ปลดกำลังเครื่องยนต์ที่กำลังหมุนจากล้อรถยนต์ที่หมุนอยู่ เพื่อยอมให้คุณเปลี่ยนเกียร์ โดยไม่ทำให้เกิดการเสียดสีของฟันเกียร์ ก่อนที่คุณจะเปลี่ยนเกียร์ (เปลี่ยนขึ้น หรือลง) คลัทช์ต้องถูกกดจนสุดพื้นรถ
- ปรับตำแหน่งของเบาะนั่งไปด้านหน้าพอให้คุณเหยียบแป้นคลัทช์ (แป้นทางซ้าย ติดกับแป้นเบรก) ได้จนสุดพื้นรถด้วยเท้าซ้ายของคุณ
- เหยียบแป้นคลัทช์ให้ติดพื้นรถและค้างไว้ นี่เป็นช่วงเวลาที่ดีที่จะจำไว้ว่าระยะของแป้นคลัทช์แตกต่างจากแป้นเบรก และคันเร่งอย่างไร และทำความคุ้นเคยกับการปล่อยแป้นคลัทช์อย่างช้าๆ และมั่นคง
- โยกหัวเกียร์ไปยังตำแหน่งเกียร์ว่าง โดยปกติจะอยู่ตำแหน่งตรงกลาง ซึ่งคุณจะไม่รู้สึกสะดุดเมื่อโยกหัวเกียร์จากข้างหนึ่ง ไปอีกข้างหนึ่ง รถยนต์จะถือว่าไม่ได้ถูกเข้าเกียร์ไว้เมื่อ การเปลี่ยนเกียร์อยู่ในตำแหน่งเกียร์ว่างหรือแป้นคลัทช์ถูกเหยียบจนสุด
- การสตาร์ทเครื่องยนต์ด้วยกุญแจ แน่ใจว่าคุณได้เหยียบแป้นคลัทช์จนสุดพื้นรถ และค้างไว้ในขณะที่คุณสตาร์ทเครื่องยนต์
- ทันทีที่เครื่องยนต์ถูกสตาร์ท คุณสามารถถอนเท้าของคุณออกจากแป้นคลัทช์ (หากเกียร์อยู่ในตำแหน่งเกียร์ว่าง)
- เหยียบแป้นคลัทช์ให้ติดพื้นรถอีกครั้ง และโยกหัวเกียร์ไปตำแหน่งเกียร์ 1 ซึ่งมันควรอยู่ในตำแหน่งด้านบนซ้าย และโดยทั่วไปจะมีแผนผังตำแหน่งเกียร์ปรากฏอยู่บนหัวเกียร์
- ยกเท้าของคุณออกจากแป้นคลัทช์ช้าๆ จนกระทั่งคุณได้ยินเสียงความเร็วเครื่องเริ่มตกลง จากนั้นให้กดแป้นคลัทช์ซ้ำอีกครั้ง ทำซ้ำหลายๆครั้ง จนกระทั่งคุณสามารถจดจำเสียงนี้ได้ นี่คือจุดที่คลัทช์กดตัวลงบนล้อตุนกำลัง หรือเรียกว่าจุด Friction Point
- การทำให้รถออกตัว ให้ยกเท้าของคุณจากแป้นคลัทช์ จนกระทั่งรอบเครื่องตกลงเล็กน้อย และเหยียบแป้นคันเร่งเบาๆ พยายามสร้างสมดุลระหว่างการเหยียบแป้นคันเร่งเบาๆ ในขณะที่ปล่อยแป้นคลัทช์ช้าๆ คุณอาจจะลองดูหลายๆ ครั้งเพื่อหาจังหวะเหยียบแป้นคันเร่ง และปล่อยแป้นคลัทช์ที่สัมพันธ์กัน อีกวิธี คือปล่อยคลัทช์จนกระทั่งถึงจังหวะที่กำลังของเครื่องยนต์ตกลงเล็กน้อย แล้วค่อยเหยียบแป้นคันเร่งเมื่อคลัทช์จับตัว ในตอนนี้รถจะเริ่มเคลื่อนที่ โดยวิธีที่ช่วยป้องกันไม่ให้รถดับได้ดีที่สุด คือการเร่งเครื่องยนต์ เมื่อปล่อยคลัทช์ กระบวนการนี้อาจยุ่งยากสักหน่อย เนื่องจากคุณพึ่งเรียนรู้การใช้รถเกียร์ธรรมดา ที่มี 3 แป้นเหยียบ ดังนั้นคุณควรเตรียมพร้อมที่จะดึงเบรกมือในกรณีฉุกเฉิน จนกระทั่งคุณมีความชำนาญในการขับขี่มากขึ้น หากคุณปล่อยคลัทช์เร็วเกินไป รถจะกระตุกและดับ หากเครื่องยนต์มีเสียงคล้ายจะดับ ให้เหยียบคลัทช์ค้างไว้ หรือกดคลัทช์ให้ลึกขึ้นอีกเล็กน้อย ความเร็วเครื่องยนต์ที่มากเกินไป ในขณะที่ไม่ได้เหยียบคลัทช์จนสุด จะทำให้ชิ้นส่วนของคลัทช์สึกหรอก่อนเวลาอันควร ส่งผลให้เกิดการลื่นไถล หรือทำให้ชิ้นส่วนคลัทช์ที่ระบบส่งกำลังไหม้
- ในระหว่างการขับขี่รถยนต์ เมื่อรอบเครื่องของคุณถึง 2,500 – 3,000 รอบต่อนาที คุณควรเปลี่ยนเป็นเกียร์ 2 จำไว้ว่ามันจะขึ้นอยู่กับประเภทรถที่คุณขับขี่ว่าเครื่องวัดความเร็วรอบถูกตั้งให้เปลี่ยนเกียร์ที่ความเร็วรอบเท่าไหร่ เมื่อเปลี่ยนเกียร์สูงขึ้น เครื่องยนต์ของรถจะเริ่มเร็วขึ้น และคุณควรจดจำเสียงนี้ให้ได้ ให้เหยียบแป้นคลัทช์ และโยกหัวเกียร์จากเกียร์ 1 ลงมาด้านล่างซ้าย รถบางคันมี ไฟเปลี่ยนเกียร์ หรือตัวแสดงบนเครื่องวัดความเร็ว ที่จะแจ้งคุณเมื่อถึงเวลาที่ต้องเปลี่ยนเกียร์ เพื่อป้องกันไม่ให้คุณเร่งเครื่องยนต์เร็วเกินไป
- เหยียบแป้นคันเร่งเบาๆ และค่อยๆ ปล่อยแป้นคลัทช์ช้าๆ
- ทันทีที่เข้าเกียร์อยู่ และเหยียบแป้นคันเร่ง คุณควรถอนเท้าออกจากแป้นคลัทช์ การวางเท้าบนแป้นคลัทช์ และออกแรงกดบนกลไกของคลัทช์ในระหว่างขับขี่รถยนต์เป็นนิสัยที่ไม่ดี แรงกดที่เพิ่มขึ้นสามารถทำให้คลัทช์สึกหรอก่อนถึงเวลาอันควร
- เมื่อคุณต้องหยุดรถ ให้ปล่อยเท้าขวาออกจากแป้นคันเร่ง แล้วเหยียบแป้นเบรกโดยออกแรงให้เพียงพอที่จะทำให้รถช้าลง และเมื่อรถลดความเร็วจนถึงระดับ 16 กิโลเมตรต่อชั่วโมง คุณจะรู้สึกว่ารถเริ่มสั่น ให้คุณเหยียบแป้นคลัทช์จนสุด และโยกเกียร์ไปตำแหน่งเกียร์ว่างเพื่อไม่ให้รถดับ
- ทันทีที่คุณมีความชำนาญ การขับรถเกียร์ธรรมดาจะเป็นเรื่องสนุก คุณสามารถเร่งเครื่องยนต์ในตำแหน่งเกียร์ใดก็ตาม เพื่อสร้างความรู้สึกถึงความแรงของรถที่เพิ่มมากขึ้น หรือหากคุณต้องการขับรถให้ประหยัดน้ำมันมากขึ้น ให้คุณเปลี่ยนเกียร์ที่รอบเครื่องยนต์ต่ำๆ
เคล็ดลับการขับรถเกียร์กระปุก
- ทุกครั้งก่อนออกจากรถ ผู้ขับรถควรจะปลอดเกียร์ให้อยู่ในตำแหน่งเกียร์ว่างเสมอพร้อมทั้งดึงเบรคมือค้างไว้ เพื่อป้องกันการหลงลืมเมื่อมีการไขกุญแจสตาร์ทเครื่องยนต์โดยเกียร์ไม่ได้อยู่ ในตำแหน่งเกียร์ว่างรถจะพุ่งไปข้างหน้า หรือถอยหลังอย่างฉับพลัน อันจะก่อให้เกิดอันตรายได้ สำหรับการปลดเกียร์ว่าง นอกจากจะปฏิบัติก่อนออกจากรถทุกครั้งแล้ว อาจปฏิบัติในขณะรถติดนานๆ ได้ด้วยโดยดึงเบรคมือ แทนการเหยียบเบรคและคลัทซ์ค้างไว้ ช่วยพักเท้าคลายอาการเมื่อยล้าได้ด้วย
- ควรเหยียบคลัทซ์ทุกครั้งที่สตาร์ทเครื่องยนต์ เพื่อป้องกันการส่งกำลังจากเครื่องยนต์ มาสู่ระบบขับเคลื่อน เพราะหากลืมปลดเกียร์มาที่ตำแหน่งเกียร์ว่าง การเหยียบคลัทซ์จะทำให้รถไม่พุ่งไปข้างหน้าด้วยเช่นกัน
- มือใหม่หัดขับ มักพยายามหลีกเลี่ยงเส้นทางที่ต้องขึ้นสะพาน แต่หากเลี่ยงไม่ได้ และต้องติดค้าง อยู่บนสะพานผู้ขับมือใหม่มักกังวลว่าจะทำอย่างไรดีเพื่อไม่ให้รถไหลไปชนคันหลังวิธีง่ายๆ ก็คือ ปลดเกียร์ว่าง พร้อมกับดึงเบรคมือ และเมื่อจะเคลื่อนตัวให้ผู้ขับเหยียบครัทซ์และเข้าเกียร์ 1 พร้อม ที่จะออกแล้วเหยียบคันเร่งข้าๆ พร้อมกับปลดเบรคมือ รถอาจจะไหลบ้างเล็กน้อยตามพื้นที่ลาดเอียง มือใหม่หัดขับไม่ต้องตกใจ ออกตัวรถไปตามปกติ
- เลือกใช้เกียร์ให้เหมาะสมกับความเร็วของรถ และเปลี่ยนเกียร์ที่ความเร็วรอบของเครื่องยนต์ไม่ต่ำ หรือสูงเกินไป (2,000 - 3,000 รอบ/นาที) จะทำให้การขับขี่นุ่มนวลยิ่งขึ้น และประหยัดน้ำมันอีกด้วย
- การชะลอรถ/หยุดรถ เมื่อขับมาด้วยความเร็ว ให้ค่อยๆแตะเบรก อย่าเพิ่งเหยียบครัทซ์ เพื่อให้กำลังของเครื่องยนต์เป็นตัวช่วยชะลอรถ (ENGINE BRAKE) จากนั้น เมื่อรถใกล้หยุดให้เหยียบครัทซ์ และเมื่อรถหยุดสนิทให้ปลดเกียร์ว่าง พร้อมทั้งดึงเบรกมือเพื่อป้องกันรถไหล
- แน่ใจว่าไม่ได้วางเท้าซ้ายไว้บนแป้นคลัทช์ในระหว่างการขับขี่
- อย่าให้สิ่งใดมารบกวน ในระหว่างขับรถ เช่น ส่งข้อความ นี่อาจก่อให้เกิดการบาดเจ็บสาหัส หรือเสียชีวิต หากคุณประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์
- แน่ใจว่าคุณเหยียบแป้นคลัทช์จนสุดก่อนเปลี่ยนไปเกียร์ลำดับถัดไป หรือต่ำลง
- จดจำเสียงของเครื่องยนต์ของคุณว่าจังหวะไหนควรเปลี่ยนเกียร์ โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งเครื่องวัดความเร็วรอบ
- หากคุณประสบปัญหาในการทำให้รถออกตัว แน่ใจว่าคุณปล่อยคลัทช์ช้าๆ ให้คุณหยุดที่จุด friction point (ตอนที่เครื่องยนต์เริ่มออกตัว) และค่อยๆ ถอนเท้าออกจากคลัทช์ช้าๆ
- ตรวจสอบรอบเครื่องยนต์ และเปลี่ยนเกียร์ให้สัมพันธ์กัน ยกตัวอย่างเช่น เปลี่ยนเป็นเกียร์ 2 ที่รอบเครื่องยนต์ 2,000 รอบต่อนาที เกียร์ 3 ที่รอบเครื่องยนต์ 3,000 รอบต่อนาที และเกียร์ 4 ที่รอบเครื่องยนต์ 4,000 รอบต่อนาที จนกระทั่งเสียงของเครื่องยนต์ไม่คำราม เพื่อรอการเปลี่ยนตำแหน่งเกียร์ให้สูงขึ้น ดังนั้นจงให้ความสนใจกับเสียงของเครื่องยนต์
- หากไม่มีแผนผังตำแหน่งเกียร์ปรากฏอยู่บนหัวเกียร์ แน่ใจว่าคุณได้ถามคนที่คุ้นเคยกับรถรุ่นนั้นๆ ว่าระบบเกียร์ถูกจัดวางไว้อย่างไร สิ่งที่คุณไม่อยากให้เกิดขึ้น คือถอยหลังชนสิ่งของ (หรือบางคน) เมื่อคุณคิดว่าคุณได้เข้าเกียร์ 1 เพื่อเดินหน้า
- เมื่อคุณต้องขับผ่านเนินหลังเต่า คุณควรเหยียบคลัทช์ค้างไว้ และเหยียบเบรกเล็กน้อยเพื่อทำให้รถชะลอตัว และเมื่อผ่านเนินให้ปล่อยคลัทช์ค่อยๆ และเหยียบแป้นคันเร่งเพื่อทำให้รถเคลื่อนตัวต่อไป
- คุณอาจต้องเข้าเกียร์ 1 เมื่อจอดรถ นอกเหนือจากการใส่เบรกมือ
- หากคุณรู้ล่วงหน้าว่าคุณจะต้องจอดรถบนทางลาด ให้คุณพกก้อนอิฐ หรือหินใส่รถไว้ เพื่อวางไว้ด้านหลังของล้อรถยนต์ (“ด้วยความระมัดระวัง”) มันไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะทำแบบนี้ทุกครั้ง เนื่องจากเบรกมือ จะเหมือนกับชิ้นส่วนอื่นๆ ของรถยนต์ ที่จะสึกหรอตามอายุการใช้งาน และจะไม่สามารถทำให้รถของคุณหยุดนิ่งอยู่กับที่ได้ หากจอดไว้บนเนินเขาที่ชันมากๆ
- หาอุณหภูมิลดต่ำมากๆ ไม่แนะนำให้ทิ้งรถไว้เป็นเวลานานๆ โดยใส่เบรกมือไว้ ความชื้นจะทำให้เบรกจับตัวแข็ง และทำให้การปลดเบรกมือทำได้ลำบาก
- คำเรียกเหล่านี้มีความหมายเหมือนกัน ได้แก่ “เกียร์ที่ใช้มือบังคับ” “เกียร์กระปุก” และ “เกียร์ธรรมดา”
- อย่าขับรถบนถนน จนกระทั่งคุณมีความชำนาญในการเข้าเกียร์ 1 และเกียร์ถอยหลัง ให้คุณฝึกฝนการขับขี่รถยนต์โดยปราศจากการเหยียบแป้นคันเร่ง เมื่อปล่อยคลัทช์ และฝึกฝนอีก 100 ครั้ง ทั้งแบบเหยียบแป้นคันเร่ง และไม่เหยียบ โดยให้ทำเหมือนกันกับเกียร์ถอยหลัง หลังจากนั้นคุณจะพร้อมที่จะขับออกสู่ถนน
- หากรถของคุณเหมือนจะดับ หรือเครื่องยนต์มีอาการคล้ายการสะอึก ให้เหยียบคลัทช์ซ้ำอีกครั้ง และคอยจนเสียงเครื่องยนต์เป็นปกติ และทำตามขั้นตอนใหม่อีกครั้ง
- ฝึกฝนจนกระทั่งคุณสามารถเปลี่ยนเกียร์โดยไม่ต้องมองไปที่เกียร์ เพื่อคุณจะได้มีสมาธิอยู่กับถนน
คำเตือนในการขับรถเกียร์กระปุก
- สังเกตหากคุณอยู่บนพื้นที่ที่เป็นเนินเขา หรือสูงชัน. รถคุณสามารถไหลถอยหลัง และชนคน หรือวัตถุด้านหลังรถคุณ หากคุณไม่เหยียบเบรก และคลัทช์ค้างไว้
- หยุดรถให้สนิท ก่อนเปลี่ยนเกียร์ถอยหลัง ไม่สำคัญว่ารถของคุณจะเคลื่อนที่ไปในทิศทางไหน การเปลี่ยนเกียร์ถอยหลัง ในขณะที่รถกำลังเคลื่อนที่ จะก่อให้เกิดความเสียหายต่อชุดเกียร์ธรรมดา
- เมื่อคุณทำเครื่องดับหลายๆ ครั้ง และพยายามสตาร์ทเครื่องใหม่อีกครั้ง ให้เวลาสตาร์ทเตอร์ และแบตเตอรี่อย่างน้อย 5 – 10 นาที เพื่อหลีกเลี่ยงการทำให้เครื่องยนต์ร้อนจนเกินไป และทำให้สตาร์ทเตอร์เสียหาย และแบตเตอรี่รถยนต์หมดไฟ
- จับตาดูเครื่องวัดความเร็วรอบ จนกระทั่งคุณรู้สึกคุ้นเคยกับการใช้งาน การขับรถเกียร์ธรรมดาต้องใช้ประสบการณ์มากกว่าเกียร์อัตโนมัติ โดยการเร่งเครื่องยนต์มากเกินไป อาจทำให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงต่อเครื่องยนต์
- การหยุดรถสนิท ก่อนเปลี่ยนตำแหน่งเกียร์จากถอยหลัง ไปเป็นเกียร์เดินหน้าเป็นสิ่งที่ควรปฏิบัติเป็นอย่างยิ่ง อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนเกียร์ธรรมดาจากตำแหน่งถอยหลัง ไปเกียร์ 1 หรือเกียร์ 2 สามารถทำได้ในระหว่างที่รถกำลังถอยหลังด้วยความเร็วต่ำ แต่ไม่แนะนำให้ทำ เนื่องจากมันอาจทำให้คลัทช์เกิดการสึกหรอมากเกินไป
แล้วจะใช้บริการเช่ารถเกียร์กระปุกได้อย่างไรบ้างละ
การเช่ารถดอนเมือง สามารถใช้บริการได้ผ่านบริการรถเช่าขับเองของ ECOCAR rent-a-car ดังนี้
เช่ารถกรุงเทพ ในการเช่ารถขับเอง เช่ารถกระบะขับเอง หรือ เช่ารถตู้ขับเองที่กรุงเทพนั้น สามารถมาเช่ารถได้ที่สำนักงาน ECOCAR rent-a-car ทั้ง 6 สาขาในกรุงเทพอย่างดอนเมือง, สุวรรณภูมิ, ลาดพร้าว, บางหว้า, สมุทรปราการ และ นนทบุรีได้เลย
[ 10 บริษัท เช่ารถกรุงเทพ ที่สามารถขับไปต่างจังหวัดได้ ]
เช่ารถเชียงใหม่ สามารถเช่ารถเชียงใหม่ หรือ เช่ารถรับส่งสนามบินเชียงใหม่ได้ที่อาคารผู้โดยสารขาเข้า ประตู 2-3 ใกล้กับสนามบินเชียงใหม่เลย
[5 เทคนิคเช่ารถที่เชียงใหม่] ให้ได้ราคาถูกและดี จะเป็นยังไง ไปดู
เช่ารถตู้ ในการเช่ารถตู้นั้น ยามที่ออกเดินทางไปท่องเที่ยวด้วยแล้ว แน่นอน การเป็นกลุ่มๆ จะสนุก แต่จะมีปัญหายามที่แต่ละคนๆ เอารถไปคนละคัน ทำให้ต้องสิ้นเปลืองค่าน้ำมันโดยใช่เหตุ ฉะนั้นแล้ว ทาง รถเช่า ECOCAR rent-a-car จะมานำเสนอทางเลือกที่ดีกว่า ด้วยการให้บริการเช่ารถตู้ ที่ตัดปัญหาเรื่องน้ำมันไปได้เลย หากเดินทางไปที่ที่เดียวกัน ทั้งนี้ คุณสามารถเลือกได้ว่า จะ "เช่ารถตู้ขับเอง" หรือ ให้มีคนขับรถตู้ ให้ ซึ่งเราก็มีให้บริการ "เช่ารถตู้พร้อมคนขับ" เช่นกัน โดยเรามีรถตู้ยี่ห้อ Toyota Commuter เป็นรถตู้ เครื่องยนต์ดีเซล 3.0 ลิตร เทอร์โบ อินเตอร์คูลเลอร์ ขับเคลื่อนด้วยเกียร์ออโต้ 4 สปีด ที่มาพร้อมกับความสะดวกสบายด้วยห้องโดยสาร อาทิ ถาดวางอาหาร และที่วางแก้ว ทุกที่นั่ง จุคนได้ถึง 15 คน รวมไปถึง ไฟตัดหมอกหน้า ที่ช่วยให้ส่องสว่างมากขึ้น ยามที่ต้องขับรถในช่วงกลางคืน
[ 5 สถานที่เที่ยวสำหรับการเดินทางเป็นหมู่คณะ ] เช่ารถตู้ พร้อมคนขับ คลิก
เช่ารถกระบะ รถเช่า ECOCAR rent-a-car ยินดีให้บริการเช่ารถกระบะ สำหรับลูกค้าที่ต้องใช้บรรทุกสิ่งของในการย้ายบ้าน ทั้ง ระยะใกล้ หรือ ระยะไกล หรือแม้กระทั่งให้เช่า ไว้เดินทางท่องเที่ยวในสไตล์ขาลุยกับเพื่อนฝูง ด้วยสมรรถนะที่สูง อีกทั้งเป็นรถเช่าที่อาจจะไม่วุ่นวายมาก เพราะ เติมน้ำมันแค่ "ดีเซล" เพียงอย่างเดียว นอกจากนี้ เรามีรถกระบะให้เช่าหลากหลายรุ่น และหลากหลายรูปแบบที่ให้คุณสามารถเลือกสรรได้ในที่เดียว พร้อมมีเจ้าหน้าที่ที่มีประสบการณ์ในการให้บริการเช่ารถกระบะ มากถึง 9 ปี เรามีรถ Isuzu D-MAX และ Isuzu D-max Spacecap มาให้บริการคุณแล้ว
[รวม 5 บริษัท] เช่ารถกระบะ ราคาถูก ในกรุงเทพ
รถเช่าหาดใหญ่ สามารถมาใช้บริการรถเช่าหาดใหญ่ได้ที่สนามบินหาดใหญ่ ทางออกประตู 7 กับ 8 เมื่อเดินออกมาแล้วให้รอตรงจุดรับผู้โดยสารตรงข้ามเซเว่น ใกล้กับสนามบินหาดใหญ่เลย มีบริการรถรับส่งสนามบินหาดใหญ่ด้วยนะ
[ 5 บริษัทรถเช่าหาดใหญ่ ] จะหาเช่ารถหาดใหญ่ ราคาถูก ที่ไหนดี
แล้วทั้งหมดนี้ก็คือวิธีขับรถเกียร์กระปุกหรือเกียร์ธรรมดานี่เอง น่าสนใจใช่ไหมละ และสำหรับใครก็ตามที่อยากจะกลับไปขับรถเกียร์กระปุกอีกครั้งนึง หรือ มีธุระที่ต้องใช้รถเกียร์กระปุก ขอให้คิดถึง เช่ารถกระบะกับ ECOCAR rent-a-car เรามีรถกระบะให้เช่าแบบเกียร์กระปุกแน่นอนให้ขับด้วยนะ รถกระบะของที่นี่มีคุณภาพดี อายุใช้งานไม่ถึง 5 ปี สามารถขับไปเที่ยวที่ไหนก็ได้ พร้อมด้วยน้ำมันเต็มถัง มีแม่แรงและยางอะไหล่ให้ด้วย มีบริการทั้งขับเองและพร้อมคนขับ จะเช่าแบบรายวันหรือรายเดือนก็ได้ ที่สำคัญเรายังมีบริการจองรถแบบออนไลน์ 24 ชั่วโมงด้วยนะ
อ่านบนทความเพิ่มเติม
[ รวม 5 บริษัท ] เช่ารถใกล้สนามบินดอนเมือง