รถยนต์ไฟฟ้า ปฏิเสธไม่ได้ว่ากำลังเป็นยนตรกรรมสายพันธุ์ใหม่ที่ได้รับความนิยมทั่วโลก และจะตีตลาดเข้ามาเทียบกับรถยนต์ที่ใช้น้ำมันในไม่ช้านี้ ด้วยความที่เป็นรถยนต์ที่ใช้พลังงานไฟฟ้าเป็นตัวขับเคลื่อนเครื่องยนต์ ทำให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากกว่ารถประเภทอื่นมาก แถมดูแลรักษาง่ายกว่ารถประเภทอื่นด้วย ทำให้ใครต่อหลายคนนิยมซื้อมาขับไปเที่ยวหรือทำธุระในที่ใกล้ๆบ้าน ปัจจุบันนี้มีแบรนด์รุ่นรถยนต์ไฟฟ้ามาให้เลือกซื้อมากมายทั่วโลก รวมถึงที่ประเทศไทยเองก็เริ่มเปิดตลาดรถยนต์ไฟฟ้าแล้ว มีการขายรถยนต์ไฟฟ้าให้ผู้ใช้รถชาวไทยได้เลือกซื้อกัน แล้วจะมีแบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าที่ไหนบ้างที่นำเข้ามาขายที่ไทยละ วันนี้เราจะมาดู 5 รุ่นของรถยนต์ไฟฟ้าที่นำเข้ามาขายที่ไทยกัน ดูว่าจะมีคันไหนมาเลือกให้เราซื้อบ้าง เราไปดูกันเลย สำหรับผู้ที่กำลังจะวางแผนเดินทางไปที่ต่างๆ และกำลังมองหารถเช่าราคาถูก สามารถจองรถเช่าออนไลน์ 24 ชั่วโมง กับ ECOCAR rent-a-car ได้ที่นี่เลยนะ รถเช่าราคาถูก
อยากรู้ไหม อะไรเป็นเหตุผลที่ทำให้รถยนต์ไฟฟ้าได้รับความนิยมและมาแทนที่รถยนต์น้ำมันได้
ลองอ่านบทความนี้ได้ที่
[5 องค์ประกอบ] ที่จะทำให้รถยนต์ไฟฟ้า มาแทนที่รถยนต์น้ำมัน
1.MG ZS EV
รถยนต์ไฟฟ้าคันนี้ เริ่มต้นด้วยเจ้าแรกที่เปิดราคามาแบบร้องว้าวกันเลย กับค่าตัว 1,190,000 บาท ทำให้ปลุกกระแสรถไฟฟ้าได้เป็นอย่างดี MG ZS EV โดดเด่นด้วยดีไซน์อันเป็นเอกลักษณ์ของ SUV ตามแบบฉบับของเอ็มจี สีตัวถังแบบพิเศษ “สีฟ้า Copenhagen Blue”
ภายในห้องโดยสารตกแต่งโทนสีดำ กับหน้าจอสีระบบสัมผัสขนาด 8 นิ้วได้เพียงปลายนิ้ว และระบบปรับอากาศแบบดิจิตอลที่มาพร้อมระบบกรองอากาศที่สามารถกรองฝุ่นขนาดเล็ก PM 2.5
อีกทั้งยังโดดเด่นด้วยหลังคาซันรูฟแบบพาโนรามา (Panoramic Sunroof) NEW MG ZS EV เป็นรถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า 100% ที่ให้ทั้งสมรรถนะ อัตราเร่งที่รวดเร็ว มอเตอร์ไฟฟ้า แบบ Permanent Magnet Synchronous Motor ที่ได้รับการพัฒนาให้ส่งกำลังได้ดีเยี่ยม และช่วยระบายความร้อนได้ดียิ่งขึ้น พร้อมแบตเตอรี่ แบบลิเธี่ยม ไอออน (Lithium-ion) ความจุ 44.5 kWh
โดยมีพละกำลังสูงสุด 110 กิโลวัตต์ (150 แรงม้า) แรงบิดสูงสุด 350 นิวตันเมตร สามารถเร่งจาก 0-50 กิโลเมตร/ชั่วโมง ได้ด้วยระยะเวลาแค่ 3.1 วินาที และให้ระยะทางขับเคลื่อนสูงสุด 337 กิโลเมตร ต่อการชาร์จเต็มหนึ่งครั้ง (ตามมาตรฐาน NEDC หรือมาตรฐานการทดสอบความประหยัดน้ำมันและมลพิษของยุโรป)
2.Nissan Leaf
อีกค่ายกับกับรถญี่ปุ่น นิสสัน ลีฟ ถือเป็นค่ายแรกที่นำเข้ามาจัดจำหน่ายอย่างเป็นทางการสำหรับ รถยนต์ไฟฟ้า ลีฟ ได้รับความนิยมของคนทั่วโลก ที่สามารถทำยอดขายได้รวมกว่า 40,000 คันไปแล้ว
นิสสัน ลีฟ เป็นรถนำเข้าทั้งคัน โดยทางบริษัท นิสสัน มอเตอร์ (ประเทศไทย) จํากัดโดยตรง เป็นรถยนต์ไฟฟ้าเจนเนอเรชั่นที่ 2 ที่ได้รับการพัฒนาให้ใช้มอเตอร์ไฟฟ้า AC SYNCHRONOUS ขนาด 150 แรงม้า แรงบิด 320 นิวตันเมตร ขับเคลื่อนด้วยแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนความจุขนาด 40 กิโลวัตต์ชั่วโมง
สามารถขับเคลื่อนไปได้ไกลสูงสุด 311 กิโลเมตร/การชาร์จ 1 ครั้ง ตั้งราคาจำหน่ายเอาไว้ที่ 1.99 ล้านบาท (นำเข้า CBU) แต่ด้วยราคารถที่นำเข้าทั้งคันอาจทำให้สูงกว่าคู่แข่ง จึงทำให้ผู้บริโภคอาจจะต้องคิดหนักในการตัดสินใจ
3.FOMM ONE
FOMM ONE เป็นรถยนต์ไฟฟ้าที่มีขนาดเล็ก กระทัดรัด แต่สามารถรองรับที่นั่งได้ถึง 4 ที่นั่ง ถือเป็นรถขนาดเล็กกระทัดรัด ประหยัดค่าใช้จ่ายด้วยอัตราสิ้นเปลืองเพียง 30 สตางค์ต่อกิโลเมตร ด้วยการชาร์จในระบบไฟฟ้าภายในบ้านเพียง 6 – 8 ชั่วโมง และสามารถวิ่งได้ไกลถึง 160 กิโลเมตร
ขนาดความยาว 2,585 มม. กว้าง 1,295 มม. และสูง 1,560 มม. รูปร่างหน้าตาจึงมีความน่ารักผสมผสานกับความทันสมัย ระบบขับเคลื่อนติดตั้งมอเตอร์ไฟฟ้าในดุมล้อหน้าทั้ง 2 ข้าง ให้กำลังสูงสุด 13 แรงม้า ส่วนแรงบิดสูงถึง 560 นิวตันเมตร วิ่งได้เร็วสูงสุด 80 กม./ชม. ราคา 664,000บาท จุดเด่นสำหรับ fomm ลอยน้ำได้
4.Audi e-tron
Audi e-tron Sportback 55 quattro S line เอสยูวีทรงสปอร์ตคูเป้ สมรรถนะสูง ทรงพลัง ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า 100% รุ่นใหม่ มาพร้อมระบบขับเคลื่อน 4 ล้ออัจฉริยะแบบไฟฟ้า (electric quattro) มอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตำแหน่ง ให้พละกำลังสูงสุดถึง 300 กิโลวัตต์ หรือ 408 แรงม้า ระยะทางวิ่งสูงสุด 463 กิโลเมตรต่อการชาร์จไฟหนึ่งครั้ง
ทำให้มั่นใจในสมรรถนะที่จะตอบสนองการใช้งาน และเติมอารมณ์สปอร์ตได้อย่างเต็มที่ พร้อมความจุแบตเตอรี่ไฟฟ้าแรงสูงแบบ ลิเธียมไออน 95 kWh ด้วยอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม.ในเวลา 6.6 วินาที และ 5.7 วินาทีในบูสต์โหมด และทำความเร็วสูงสุดได้ 200 กม./ชม.
นอกจากเรื่องของสมรรถนะแล้ว จุดเด่นของ e-tron ก็คือ ความสามารถในการใช้งาน โดยการชาร์จไฟ 1 ครั้ง เดินทางได้ถึง 417 กม. มาพร้อมราคาจำหน่ายเพียง 5.299 ล้านบาทพร้อมรับการดูแลจาก Audi Protection การรับประกันรถใหม่ 5 ปี หรือระยะทาง 150,000 กิโลเมตร และบริการช่วยเหลือฉุกเฉิน Roadside Assistance ทั่วประเทศ 24 ชั่วโมงนาน 5 ปี และสำหรับลูกค้า รับประกันแบตเตอรี่ 8 ปี หรือ 160,000 กม.
5.BYD E6
รถยนต์ไฟฟ้าจากแดนมังกรกับ BYD E6 นำเข้ามาในประเทศไทยอย่างเป็นทางการโดยบริษัท ไรเซน เอนเนอร์จี จำกัด ที่เป็นการร่วมลงทุนกันระหว่าง บริษัท ชาริช โฮลดิ้ง จำกัด บริษัทตัวแทนจำหน่ายจักรยานยนต์แบรนด์ดัง Ducati และ Royal Enfield บริษัท เอเจ แอดวานซ์ เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์เพื่อความบันเทิง AJ
ตัวรถใช้มอเตอร์ไฟฟ้าที่ให้กำลังสูงสุดที่ 121 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 450 นิวตันเมตร ทำความเร็วสูงสุดได้ 140 กม./ชม. ตัวแบตเตอรี่เป็นแบบ Iron-Phosphate หรือ Fe Battery ที่สามารถเก็บไฟได้ 80 กิโลวัตต์ชั่วโมง ทำให้ BYD E6 สามารถวิ่งได้ไกลสูงสุดประมาณ 300 กิโลเมตร/การชาร์จไฟเต็ม 1 ครั้ง
ใช้ระยะเวลาในการชาร์จแบบ VTOG 40kW ที่ประมาณ 2 ชั่วโมง และแบบปกติที่ประมาณ 8-9 ชั่วโมง ปกติแล้วเราอาจจะเห็น BYD E6 ได้ในภาพลักษณ์ของการเป็น Taxi VIP ที่วิ่งตามสนามบินสุวรรณภูมิ แต่ทางผู้นำเข้า ก็เปิดโอกาสให้บุคคลทั่วไปที่สนใจอยากเป็นเจ้าของ สามารถสั่งซื้อได้ในราคา 1.89 ล้านบาท
วิธีเลือกรถยนต์ไฟฟ้า
เชื่อว่าท่านที่เข้ามาในบทความนี้จนถึงตรงนี้แล้วต้องมีเป้าในการครอบครองรถไฟฟ้าแล้วอย่างแน่นอน และต้องผ่านการคิดแล้วว่า“ รถยนต์ไฟฟ้าเหมาะกับเรา ” เพราะปัจจุบันมีแบรนด์เยอะแยะมากมาย การเลือกซื้อรถยนต์ไฟฟ้าสักคัน ต้องคำนึงถึงอะไรบ้าง?
เพราะการใช้งานของแต่ละคนนั้นมีความแตกต่างกัน จุดประสงค์การใช้งานรถยนต์ของแต่ละคนนั้นมีความแตกต่างกันออกไป ไม่ว่าจะใช้รถเพื่อการทำงาน อาทิเช่น
สิ่งแรกที่ต้องเช็คเลย นั่นคือการใช้งานครับ ไลฟ์สไตล์ของแต่ละคนนั้นแตกต่างกันอย่างชัดเจน รถยนต์ไฟฟ้าเหมาะกับการใช้งาน "ทุกรูปแบบ" ครับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่มีตารางการใช้ชีวิตใน 1 สัปดาห์เหมือนกันเกิน 70% จะเข้าข่าย " ควรใช้งานรถยนต์ไฟฟ้า " เป็นอย่างยิ่ง เพราะตารางชีวิตประจำวันของคุณนั้นเหมือนเดิมตลอดนั่นเอง
สิ่งที่แตกต่างออกไปจากตารางชีวิตแบบนี้นั่นคือ " เลิกเข้าปั้มเพื่อเติมน้ำมัน " เพราะไลฟ์สไตล์ของคุณจะเปลี่ยนมาเป็นการถึงบ้านปุ้บ เสียบชาร์จแบต ตอนเช้าดึงสายชาร์จออก ใช้งานรถแบบพลังงานเต็มเปี่ยม 100% ทุกๆ วัน นั่นเองครับ
เมื่อผ่านเงื่อนไขการใช้งานจากข้อแรกมาแล้ว ถัดมาให้คำนึงถึง "ประสิทธิภาพของตัวรถ" ว่าตรงกับวัตถุประสงค์การใช้งานของคุณมากเพียงพอหรือไม่ เริ่มต้นจาก
ระยะทางขับขี่ ต่อ 1 การชาร์จ
ดูว่ามีระยะทางเพียงพอต่อการใช้งานทั่วไปของคุณหรือไม่ หากคุณขับรถวันละประมาณ 100 กม. ก็สามารถเลือกรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใดก็ได้ หรืออาจจะเป็นรุ่นความจุแบตเตอร์รี่ขนาดมาตรฐานก็ได้ เพราะมักจะมีราคาวางจำหน่ายถูกกว่ารุ่นแบตเตอร์รี่ความจุสูงถึงหลักแสนบาทเลยทีเดียว โดยปริมาณแบตเตอร์รี่นั้นก็เหมือนกับความจุถังน้ำมันเชื้อเพลิง นั่นเองครับ
แต่ถ้าคุณเป็นคนที่ขับรถค่อนข้างไกล หรืออยากเผื่อใช้เดินทางไกลด้วย ก็ควรเลือกรุ่นที่มีความจุแบตเตอร์รี่สูงเอาไว้ก่อน เพราะ "เหลือ ดีกว่าขาด"
ขนาดมอเตอร์ขับเคลื่อน
จัดเป็นอีกหนึ่งจุดที่น่าสนใจ เพราะรถยนต์ไฟฟ้านั้นมีแรงบิดที่มหาศาลมากๆ แต่ก็ใช่ว่าจะแรงเสมอไป ในรถยนต์ไฟฟ้าบางรุ่นนั้น ทางผู้ผลิตรถยนต์อาจเลือกใส่มอเตอร์ขับเคลื่อนขนาดเล็ก ซึ่งข้อดีคือประหยัดพลังงานไฟฟ้า ข้อเสียคือการรีดเค้นพลังมันมากๆ ก็จะทำให้มันร้อนเร็ว ส่งผลให้เกิด "ไฟเต่า" อันเป็นระบบป้องกันการเสียหายของอุปกรณ์ระบบไฟฟ้าของตัวรถอันเกิดจากความร้อน นั่นเอง
ส่วนรถที่มีมอเตอร์ขนาดใหญ่ ก็เปรียบเสมือนรถยนต์ที่มีเครื่องยนต์ขนาดใหญ่ มอเตอร์ใหญ่ กำลังก็เยอะตาม แต่ก็กินไฟเยอะตามไปด้วยเช่นกัน ข้อดีคือรถจะมีกำลังเหลือๆ ใช้เร่งแซงใครก็สบาย ใช้ขึ้น-ลงดอยก็ชิลๆ แต่ถ้าเค้นมากเกินกำลังมันก็ร้อนได้
ระบบระบายความร้อนของแบตเตอร์รี่
จุดนี้จัดว่าสำคัญมากๆ เป็นข้อแรกๆ เลยครับ นอกจากปริมาณแบตเตอร์รี่ที่มีความจุเพียงพอต่อการใช้งานของเราแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่ต้องคำนึงนั้นคือ "ระบบระบายความร้อน" ของแบตเตอร์รี่ครับ เป็นข้อที่สำคัญมากสำหรับคนที่ขับรถไฟฟ้าเดินทางไกล เพราะการใช้งานรถยนต์ไฟฟ้าตลอดเวลานั้น จะก่อให้เกิดความร้อนที่แบตเตอร์รี่รถยนต์ไฟฟ้าในระดับหนึ่ง และความร้อนจะเพิ่มสูงขึ้นมากกับการชาร์จแบตเตอร์รี่แบบ DC Fast charge
ในรถยนต์ที่ระบบระบายความร้อนแบตเตอร์รี่รถยนต์ไฟฟ้าด้วยอากาศ ย่อมเสียเปรียบระบบระบายความร้อนด้วยน้ำอย่างมาก เนื่องจากอากาศประเทศไทยนั้นจัดว่าร้อนมากๆ แต่นิสัยของแบตเตอร์รี่ในรถยนต์ไฟฟ้าส่วนใหญ่นั้นจะไม่ชอบความร้อน และก็ไม่ชอบหนาวไปด้วย โดยส่วนใหญ่แล้วตัวแบตฯ เองควรมีอุณหภูมิอยู่ราวๆ 25-40 องศาเซลเซียสครับ
หากแบตเตอร์รี่ร้อนเกินไป สิ่งที่จะเกิดขึ้นนั่นคือ "ความเร็วในการชาร์จแบตเตอร์รี่แบบ DC Fast charge จะช้าลง" เนื่องจากทุกการชาร์จแบตเตอร์รี่จะส่งผลให้เกิดความร้อนที่ตัวแบตฯ นั่นเอง ยิ่งเราไป DC Fast charge เข้าไปอีก ตัวแบตฯ ก็จะได้รับไฟฟ้ามาก ความร้อนก็จะเพิ่มสูงขึ้น ตัวระบบจึงทำการลดความเร็วในการชาร์จฯ เพื่อรักษาอุณหภูมิในอยู่ในระดับที่เหมาะสมนั่นเอง และพอลดความเร็วในการชาร์จแล้ว ระยะเวลาในการชาร์จก็จะเพิ่มเข้าไปอีก ส่งผลให้เราต้องใช้เวลาในการชาร์จแบตเตอร์รี่นานขึ้น
ความสามารถในการรับพลังงานไฟฟ้าของแบตเตอร์รี่
มีผลโดยตรงต่อระยะเวลาในการชาร์จแบตเตอร์รี่ ยิ่งรถยนต์ที่มีสเปกรองรับการชาร์จพลังงานไฟฟ้าสูงๆ ก็ยิ่งทำให้คุณชาร์จแบตเตอร์รี่เต็มเร็วมากยิ่งขึ้น โดยส่วนใหญ่แล้วจะรองรับการชาร์จแบบ AC ที่ 3.6 kW ขึ้นไป และ DC ที่ 50 kW ขึ้นไป
ถัดมาในเรื่องของออปชัน ก็ไม่ต่างจากรถยนต์แบบเดิมที่เราใช้งานกันเลยครับว่าออปชั่นที่ให้มากับรถนั้นเพียงพอต่อการใช้งานเราหรือไม่ เพิ่มเงินไปเอาออปชั่นเพิ่มแล้วคุ้มหรือไม่คุ้ม อันนี้แล้วแต่ความต้องการของท่านเองว่าต้องการอะไรบ้าง ไม่ว่าจะเป็น
ซึ่งส่วนนี้ก็จัดว่าเป็นจุดที่ทำให้ราคารถยนต์ไฟฟ้านั้นเพิ่มขึ้น หรือลดลงได้
คร่าวๆเป็นอย่างไรบ้างครับ นี่เป็นวิธีการเลือกอีกแบบหนึ่ง คล้ายๆกับการเลือกรถยนต์แต่เรื่องของรถยนต์ไฟฟ้านั้นจะแตกต่างออกไปนิดหน่อย เพราะระบบเชื้อเพลิงเป็นไฟฟ้า อาจจะแตกต่างกันในเรื่อง ความจุ รุ่นที่ท๊อปๆก็มาพร้อมมัลติฟังชั่นมากมาย แตกต่างกันออกไปแล้วแต่แบรนด์
และนี่ก็คือเรื่องราวทั้งหมดของ [5 รุ่นของรถยนต์ไฟฟ้า] ที่นำเข้ามาขายที่ไทยแล้ว 2021 เป็นอย่างไรกันบ้าง น่าสนใจใช่ไหม และสำหรับใครก็ตามที่อยากเช่ารถเพื่อขับเอง เป็นการซ้อมขับก่อนที่จะซื้อรถยนต์ไฟฟ้าจริงๆขอให้คิดถึง เช่ารถรายวัน ของ ECOCAR RENT-A-CAR ไว้ในใจเลยนะ บริษัทเช่ารถนี้จดทะเบียนธุรกิจกับกรมการค้าแล้ว มากด้วยประสบการณ์ในการให้บริการเช่ารถมามากกว่า 9 ปี มีรถยนต์หลายร้อยคัน ทุกคันมีคุณภาพดี อายุใช้งานไม่ถึง 5 ปี มากด้วยบริการที่หลากหลาย ทั้งเช่ารถขับเอง-เช่ารถพร้อมคนขับ-เช่ารถระหว่างซ่อม-เช่ารถหรู-เช่ารถตู้-เช่ารถกระบะ-เช่ารถมอไซต์-เช่ารถรายวัน-เช่ารถรายเดือน ทุกคันมีน้ำมันเติมให้เต็มถัง พร้อมกับประภัยชั้นหนึ่งให้ด้วย มีแม่แรงและยางอะไหล่ไว้เปลี่ยนให้ ที่สำคัญคือรถทุกคันขับขี่ไปได้ทั่วไทย ไม่จำกัดระยะทางด้วยนะ
สำหรับคอรถยนต์ไฟฟ้าตัวจริง สามารถไปดูแบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าของจีนได้ด้วยนะ เผื่ออยากนำเข้ามาขับในไทย อ่านบทความเพิ่มเติมได้ที่